รัฐตำรวจอย่าเว่อร์ลุแก่อำนาจ ตั้งข้อหากบฏ9แกนนำพธม.

ดูเหมือนรัฐตำรวจซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้อำนาจคำสั่งของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรหุ่นเชิด เพื่อให้จัดการสลายม็อบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้พ้นจากทำเนียบรัฐบาล แสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือหวังสร้างผลงานโชว์ ด้วยการกำจัดกวาดล้างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้หายสะใจ และที่สำคัญคือ การขออำนาจศาลออกหมายจับ 9 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในข้อหากบฏในราชอาณาจักรซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

9 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกออกหมายจับฐานเป็นกบฏประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกสัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายเทิดภูมิ ใจดี และนายอมร อมรรัตนานนท์

หากฝ่ายตำรวจดำเนินคดีออกหมายจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตร ในข้อหาบุกรุกหรือทำลายทรัพย์สิน ของทางราชการก็ถือว่าดำเนินการได้โดยชอบธรรม แต่การตั้งข้อหากบฏในราชอาณาจักร ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิตนั้น สะท้อนให้เห็นถึงลูกเล่นของรัฐตำรวจภายใต้ระบอบหุ่นเชิดทักษิณ ที่ลุแก่อำนาจทำอะไรตามใจชอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้บ้านเมืองมีหวังลุกเป็นไฟแน่

การที่ฝ่ายตำรวจตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินเหตุกับ 9 แกนนำฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเช่นนี้ เท่ากับราดน้ำมันราดลงไปในกองไฟ จนอาจทำให้สถานการณ์ เผชิญหน้าที่ตึงเครียดอยู่ในขณะนี้ลุกลามรุนแรงยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็น

การที่ฝ่ายตำรวจ ออกอาการกระเหี้ยนกระหือหาช่องทางเหมือนต้องการจัดการ กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ได้ไม่ว่าด้วยเล่ห์ หรือด้วยกลเพื่อความสะใจทำให้ข้อสงสัยในความเป็นรัฐตำรวจ ที่ทำตัวเป็นทาสรับใช้ฝ่ายการเมืองมีน้ำหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างผลงาน เพื่อเอาใจเจ้านายโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา

ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ตำรวจตั้งข้อหากบฏกับ 9 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุนแรงเกินกว่าเหตุ เพราะความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังไม่เข้าข่ายการเป็นกบฏแม้แต่น้อย โทษสูงสุดต่อการที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกยึดทำเนียบรัฐบาลก็เพียงบุกรุกสถานที่ราชการเท่านั้น นอกจากนี้การชุมนุมถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ของรัฐธรรมนุญตราบใดที่ ไม่ใช้ความรุนแรง และที่สำคัญคือ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นกองกำลังติดอาวุธหวังล้มล้างการปกครอง

ขณะที่ ดร.สุรชัย ศิริไกร อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย้ำว่าการตั้งข้อหากบฏ 9 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไร้เหตุผลรองรับและเกินความจริง เพราะการชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ถือเป็นการตรวจสอบของภาคประชาชน อีกทั้งภาพรวมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตลอด 3 เดือน ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าเป็นการใช้หลักสันติวิธีไม่ได้มีการใช้กำลังอาวุธ เพื่อล้มล้างการปกครองประเทศแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรจะกลับไปทบทวนจุดยืนบทบาทตัวเองว่า เป็นข้าราชการที่มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน ต่างพระเนตรพระกรรณด้วยความถูกต้องชอบธรรม หรือเป็นแค่ตำรวจเพียงในเครื่องแบบ แต่ไร้จิตวิญญาณและศักดิ์ศรีของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพราะเป็นทาสคอยเชลียร์รับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างออกหน้าออกตา ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตว่าทีคดีที่นายวีระ มุสิกพงศ์ หนึ่งในอดีตแกนนำระบอบทักษิณและพิธีกรคนสำคัญในรายการ "เรื่องจริงวันนี้"ทางสถานีโทรทัศน์ NBT กรมประชาสัมพันธ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทั้งสองตกเป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่จนบัดนี้ตำรวจก็ไม่เห็นกระตืนรือร้นที่จะเร่งรัดคดี ทำให้อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า บ้านเมืองอยู่ในยุครัฐตำรวจที่เลือกปฏิบัติใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน




นางสาวสากียะห์ หะรงค์

5131202082


http://www.naewna.com

ไม่มีความคิดเห็น: