ทุกคนที่มีโอกาสได้ดูวิดีโอภาพการ “รุมยำ”
อย่างป่าเถื่อนเหมือนอมนุษย์ต่อผู้ชุมนุมอย่างสงบ
ที่สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ล้วนสรุปว่าตำรวจไม่ได้วางตนเป็นกลางให้สมกับความเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”
ถึงเวลานี้ภาพที่เอ่ยถึงข้างต้นก็ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกโดย
สำนักข่าวต่างประเทศ และผ่านหูผ่านตาคนเป็นจำนวนหลายร้อยล้านคน
เหมือนกรณีเหตุการณ์ 6 ตุลามหาโหดเมื่อปี 2516
ครั้งนั้นภาพการเผานักศึกษาทั้งเป็น การจับนักศึกษาแขวนกับต้นมะขามแล้วเอาเก้าอี้ฟาด
การบังคับนักศึกษาหญิงถอดเสื้อแล้วคลานกลางสนามหญ้าผ่านหน้าตำรวจทหารที่ถือ ปืนยืนจังก้า
ถูกฉายซ้ำโดยสำนักข่าวต่างประเทศเป็นเวลาเดือนๆ อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายแต่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อย่างจงใจ
ปล่อยให้มีการรุมทำร้ายกันต่อหน้าต่อตาโดยการเดินหนีจากเหตุการณ์อย่างหน้า ตาเฉย
ปล่อยให้การใช้กำลังประทุษร้ายดำเนินต่อไปนั้น คือ การทำลายระบบนิติรัฐ
ซึ่งเป็นกรอบการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมอารยะให้หมดความศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้น เชิง
นี่คือสิ่งที่สังคมทั้งสังคมต้องร่วมกันคิด ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา หาก “กฎป่า”
แบบยุคดึกดำบรรพ์จะกลับมาเป็นกรอบของการอยู่ร่วมกันแทน
นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างแท้จริง เพราะโจรผู้ร้าย ฆาตกร และอันธพาล
จะได้ใจและชอบใจ ในขณะเดียวกันคนดีในสังคมก็อาจจะต้องติดอาวุธเพื่อป้องกันตัวเอง
เพราะไม่สามารถพึ่งตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกต่อไป โดยดูตัวอย่างจาก
“ปรากฏการณ์อุดร”
เราต้องการสังคมที่เปรียบเสมือนมีสงครามกลางเมืองแบบนี้หรือ
“ปรากฏการณ์อุดร” จะต้องมีการสอบสวนสืบสวนและไล่เอาผิดกับผู้รับผิดชอบทุกระดับ
ไม่ใช่แพะหรือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเท่านั้น แต่ระดับผู้บัญชาการ ระดับผู้กำกับ
และระดับผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องร่วมรับผิดชอบและได้รับการลงโทษทางวินัย
ขั้นร้ายแรงสูงสุด และน่าจะเข้าข่ายสมรู้ร่วมคิดซึ่งเป็นความผิดทางอาญาด้วย
ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคมมหาโหด ประเทศไทยถูกนานาชาติรังเกียจ
และมีหลายประเทศไม่คบหาสมาคมค้าขายด้วย
จน รัฐบาลชุดที่บริหารงานภายหลังเหตุการณ์นั้นซึ่งประกาศว่าจะอยู่ในอำนาจ 12 ปี
ต้องล้มอย่างไม่เป็นท่าภายในเวลาเพียงปีเศษ
เป็นเรื่องของกรรมหรือบังเอิญ ไม่ทราบ แต่นายกฯ สมัคร สุนทรเวช
ได้เป็นรัฐมนตรีอยู่ในยุคโน้นด้วย
นางสาวสากียะห์ หะรงค์
5131202082