เมื่อวงจรเดิมๆวนเวียนมาถึง ...
... ในวันที่หนัก ...
ซึ่งประกอบด้วย
1. ลดอัตราภาษีน้ำมัน เพื่อให้ประชาชนใช้น้ำมันราคาถูกลงและรัฐจะยอมแบกภาษีไว้ 6 เดือนเพื่อรองรับเมกะโปรเจ็คต์เกิดขึ้น
2.ชะลอการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มแอลพีจี ในครัวเรือน เพื่อรักษาสภาพครัวเรือน
3.ลดค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำประปา สำหรับผู้ที่ใช้ไม่เกิน 50 คิวต่อหนึ่งเดือน
4.จ่ายค่าไฟฟ้าถ้าใช้ไม่เกิน 80 ยูนิต แต่หากใช้ 81-150 ยูนิต รัฐบาลจะจ่ายให้ครึ่งหนึ่ง
5.ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยจัดรถเมล์ร้อนขึ้นฟรี 800 คันโดยจะมีรถออกวิ่งรถคันที่เก็บเงินกับไม่เก็บเงินวิ่งคันเว้นคัน
6.รถไฟชั้น 3 ไม่ปรับอากาศไม่เสียเงินทั่วประเทศ
แล้วคุณละคิดอย่างไรกับมาตรการนี้
................
......
..
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 24 ก.ค. เกิดเหตุปะทะกันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เตรียมเปิดเวทีปราศรัย ภายในหนองประจักษ์ศิลปาคม เทศบาลนครอุดรธานี ซึ่งมีการรวมตัวกันอยู่ราว 150 คน ส่วนชมรมคนรักอุดร นัดหมายรวมตัวที่สนามทุ่งศรีเมือง ด้านหน้าศาลากลาง จ.อุดรธานี กว่า 700 คน
ก่อนหน้านี้ชมรมคนรักอุดร 200 คน รวมตัวเดินทางไปที่เวทีพันธมิตรฯ แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร 200 นาย ตำรวจตระเวณชายแดน 150 นาย กำลังเจ้าหน้าที่ อส. 200 นาย และ อพปร. คอยดูแลไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า จึงทำได้เพียงใช้หนังสติ๊กยิงเข้าไป แต่ลูกหินที่ยิงเข้าไปไม่ถึงกลุ่มพันธมิตร ถึงเพียงกลุ่มของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงต้องล่าถอยกลับไป
ในเวลาต่อมา “ชมรมคนรักอุดร” โดยการนำของนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรและสหกรณ์ ใช้รถกระบะติดเครื่องขยายเสียง นำขบวนสมาชิกทั้งหมดว่า เดินเท้าออกจากเวทีสนามทุ่งศรีเมือง มุ่งหน้าไปยังเวทีของกลุ่มพันธมิตร ตามถนนมุ่งหน้าไปที่ หนองประจักษ์ฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดกั้นจราจร และมีกำลัง ตชด. 150 นาย และ อส. 100 นาย ปิดกั้นถนนศุภกิจจรรยา ไม่ให้เข้าไปในหนองประจักษ์ฯ
เมื่อชมรมคนรักอุดรมาถึงที่แนวรับของ เจ้าหน้าที่ ปราฏกว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชมรมคนรักอุดรได้ใช้กำลังผู้ ชุมนุมฝ่าแนวรับ จากการปลุกเร้าผ่านเครื่องขยายเสียง ของนายอุทัยตลอดเวลา โดยใช้เวลา เพียง 5 นาทีแนวรับด้าน อส. จำนวน 100 นาย ที่อยู่บนคันดินหนองประจักษ์ฯ
ก็แตกออกก่อนที่กลุ่มชมรมคนรักอุดรทั้งหมด ซึ่งถืออาวุธเป็นไม้ยูคาลิปตัส ขนาดเท่าท่อนแขน ธงชาติไทยติดด้าม เคียงติดด้าม และท่อนเหล็ก จะกรูกันเข้าไปพังประตูเข้าไปยังเวทีพันธมิตรอย่างบ้าครั่ง โดยไม่รีรอกลุ่มชมรมคนรักอุดร ได้บุกเข้าไปทำร้ายแนวรับของกลุ่มพันธมิตร เหมือนกันคนที่โกรธแค้นมานาน
การปะทะกันดังกล่าวทำให้กลุ่ม พันธมิตรแตกกระเจิงหนีตายไปออกไปด้านสะพาน หลังจวนผู้ว่าราชการ จ.อุดรธานี ส่วนที่หนีไปไม่ได้เมื่อถูกตีล้มลง ก็ยังถูกรุมตีซ้ำด้วยไม้อย่างไม่ยั้งมือ
งานนี้ตำรวจทำได้แต่เพียงยืนมองเท่า นั้นแต่ไม่สามารถจับกุมใครได้ ยังดีที่ได้เรียกรถพยาบาลมารับคนเจ็บไปรักษาเท่านั้น แต่กลุ่มชมรมคนรักอุดรยังได้เข้าไปทุบกระจกรถฉุกเฉินจนแตก จากนั้นก็มีการรื้อเวที , เต้นท์ ข้าวของต่างๆ โดยเอาเสื้อและป้ายมาเผา จนพอใจจึงสลายตัวไป
ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี พบว่าผู้ได้รับบาดเจ็บครั้งนี้มีได้กันทั้งหมด 13 คน ถูกส่งตัวมารับการรักษา คือ 1.นายแก้ว จันทิชู อายุ 59 ปี อพปร.หนองไฮ , 2.นายชนะศักดิ์ ผ่องเทิดทิ่ง อายุ 54 ปี 3, นายจวง ขาเกตุศรี อายุ 46 ปี 4, นางธนัยนันต์ จรัสกีล้วน อายุ 30 ปี 5 , นายสมพร รักดาดาษ อายุ 23 ปี
6, ด.ต.เฉลิมวุธ ประวิเศษ อายุ 61 ปี 7, น.ส.สุจิรา มีชั้นช่วง อายุ 43 ปี 8, นายรัตนชัย ทองสุก อายุ 22 ปี 9, นายรังษี ศุภชัยสาคร อายุ 61 ปี 10, นายพงษ์เทพ แก้วใส อายุ 25 ปี 11, นายโกวิท เรี่ยวแรงไกสร อายุ 63 ปี 12, นายพาเลิศ อินบัวสี อายุ 52 ปี และ นายเสรี เป็นสุข อายุ 49 ปี ล่าสุดทราบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว 1 คน
นายสุพจน์ เลาวัณย์ศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่าได้รับรายงายแล้วว่ามีการปะทะกันของทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งจะเรียกดูวิดีโอเทปของผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเก็บภาพ จึงจะสามารถสรุปได้ว่า กลุ่มใดเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ จากนั้นจึงจะดำเนินการต่อไป
นักการเมืองทุกระดับโปรดรับรู้
จงอุ้มชูประเทศชาติประกาศชื่อ
สร้างประชาธิปไตยให้โลกลือ
ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีข้อดี คือ ทำให้เกิดความสนใจปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยรัฐบาลไทยเคยลงนามบันทึกช่วยจำกับกัมพูชา เรื่องพื้นที่ทับซ้อนเมื่อปี 2543 ดังนั้น ทั้ง 2 ประเทศ ต้องปฏิบัติตามบันทึกช่วยจำดังกล่าว โดยเฉพาะการกำหนดข้อปฏิบัติว่า ทั้ง 2 ประเทศ จะไม่เข้าไปดำเนินการอะไรในพื้นที่ทับซ้อน จึงควรรอฟังการประชุมร่วม 2 ประเทศ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องชี้แจง โดยรัฐบาลต้องไม่มีอคติ
แต่ต้องฟังเหตุผล เพื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น พูดกันดีๆ ดีกว่า
ถ้าเห็นว่าเป็นปัญหาก็พูดจากัน” นายชวน กล่าว
ดูเหมือนว่านับแต่เกิดความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ 4 มกราคม 2547 เป็นต้นมา รัฐบาลยังคลำเป้าไม่ถูกว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการใหญ่ป่วนใต้
ถึงขั้นกล่าวหาว่าเป็นผลงาน "โจรกระจอก" ด้วยซ้ำไป
จากนั้นมาคนของรัฐพุ่งเป้าและให้น้ำหนักไปที่ "ขบวนการเบอร์ซาตู" ซึ่งมีเครือข่าย 7 กลุ่มใหญ่ โดยมี ดร.วันการ์เด เจ๊ะมาน เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อน
สุดท้ายสันติภาพเป็นได้เพียงแค่ลมปาก เมื่อฝ่ายรัฐประเมินว่า ขบวนการเหล่านี้ไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริงแต่อย่างใด
ความพยายามจากวันนั้นถึงวันนี้ ก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ที่จะนำไปสู่ปลายอุโมงแห่งสันติภาพได้
กระทั่ง จู่ๆ ก็มีการเปิดตัวของผู้อ้างตัวว่าเป็น "กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย"โดยมีการประกาศยุติความรุนแรงผ่านสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในเที่ยงวันที่ 17 กรกฎาคม จนกลายเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อย
ประหลาดใจตรงที่อยู่ๆ กลุ่มดังกล่าวก็ยอมบอกเลิกศาลาเอาดื้อๆ ชนิดไร้เงื่อนไขอีกต่างหาก
เรื่องนี้ในสายตา "กูเป็ง" หรือ พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม อดีตรองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 และประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ ฟันธงทันทีว่า ผู้ประกาศถ้อยแถลงยุติความรุนแรงครั้งนี้คือ "หะยีสะมะแอ มะรือโบ" หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธกลุ่มพูโล
" การแสดงจุดยืนของกล่มพูโลครั้งนี้ อาจยังไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ดีกรีความรุนแรง ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้สงบลงอย่างเฉียบพลัน เพราะยังไม่มีคำยืนยันของกลุ่มหัวแข็งที่สุดในพื้นที่อย่าง "บีอาร์เอ็น โคออดิเนต" ว่าจะเอาด้วยหรือไม่อย่างไรกับ "กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย" พล.ต.จำรูญ วิเคราะห์
ที่สำคัญวันนี้กลุ่มบีอาร์เอ็นได้แตกเซลล์ขยายเครือข่าย ชุดปฏิบัติการกระจายอยู่ทั่วพื้นที่หลายจุดสามจังหวัด เป็นกลุ่มปฏิบัติการทางทหารในระดับหมู่บ้าน และกลุ่มนักรบหลัก (คอมมานโด) ที่ดูแลระดับเขตอำเภอ และที่สำคัญนักรบ "รุ่นใหม่" เหล่านี้ เลือกใช้วิธีรุนแรงและเดินสวนทางแนวคิดกลุ่มเก่า รวมไปถึงกลุ่มนักสู้เพื่อเอกราชปาตานี ซึ่งเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในเครือข่ายของขบวนการบีอาร์เอ็น-โคออร์ดิเนต
ทว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะการประกาศของแกนนำกลุ่มพูโลในนามกลุ่มใต้ดินนั้น จะสามารถควบคุมขบวนการที่แต่หน่อแตกกอมากมายในปัจจุบันได้หรือไม่
ในมุมของอดีตนายตำรวจรายนี้ชี้ว่า เวลาและสถานการณ์เท่านั้น จะเป็นเครื่องตัดสินว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
พล.อ.กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาค 4 มองว่าถือเป็นเรื่องที่ด ีในแง่การคลี่คลายสถานการณ์ภาคใต้ตามแนวทางสันติวิธี แต่ประเด็นที่น่าสงสัยคือ มีใครบ้างที่ร่วมลงมติเดียวกับ "กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย"
ที่สำคัญการออกมาแสดงตัว และประกาศยุติความรุนแรงผ่านคนกลางหรือตัวเชื่อมอย่าง "พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร" หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แม้จะเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบก แต่ปัจจุบันมีภาพ "นักการเมือง" อย่างชัดเจน
"หน้าที่นี้ต้องผ่านกองทัพบกมากกว่าเพราะเรื่องนี้ ผบ.ทบ.เป็นผู้ดูแลโดยตรง อีกทั้งการใช้ช่องทางสื่อโดยผ่านสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ซึ่งมีเครือข่ายระบบโกลบอลเน็ตเวิร์กทั่วโลก ทำให้วันนี้เรายกระดับกลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทยไปโดยปริยาย"
อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ย้ำว่า ในสถานการณ์ขณะนี้จะต้องเฝ้าและรอดูกลุ่มอื่นๆ ในพื้นที่ ทั้งแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติปัตตานี ขบวนการปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี บีอาร์เอ็นโคออดิเนต รวมถึงกลุ่มเบอร์ซาตู ว่าจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร เพราะคำประกาศยุติความรุนแรง อาจจะเป็นการเติมเชื้อให้อีกกลุ่มเร่งเร้าความรุนแรง หรือคิดวางอาวุธก็ได้
"แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมไทยได้รับรู้ผ่านคำประกาศคือ และสามารถสรุปได้นั่นคือปัญหาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ คือเรื่องการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเขาคิดทำมานานเกือบร้อยปีแล้ว และเชื่อหรือไม่ว่าเขาจะเลิกคิด" พล.อ.กิตติ ตั้งข้อสังเกตที่มีแต่ความมีเคลือบแคลง
ณ วันนี้ คำตอบสุดท้ายที่จะเดินไปสู่สันติภาพอย่างยั่งยืน ในพื้นที่ภาคใต้ได้ก็คือ การเอาชนะความคิดขบวนการทุกกลุ่มที่มีอยู่ให้ได้ ซึ่งนั่นหมายถึงรัฐไม่จำเป็นต้องตามหาตัวตนว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง
ที่บอกว่าไม่อยากเขียนถึงไม่ใช่ไม่รู้จักกับ พล.อ.ปฐมพงศ์ ก็รู้จักกันอยู่ และได้เคยพูดคุยด้วยมาก็หลายครั้งแล้ว แต่ที่ไม่อยากเขียนถึงกลัวว่า จะเป็นการขยายผลในประเด็นที่ไม่ควรเป็นประเด็น
รู้อยู่ตั้งแต่ต้นแล้วว่า การออกมาของ พล.อ.ปฐมพงศ์นั้น ไม่ธรรมดาแน่ๆ และน่าจะเป็นการ "ส่งสัญญาณ" อะไรบางอย่างออกมาของทหาร จึงส่ง "หัวหมู่ทะลวงฟัน" ออกมาสู้ ทำนอง "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" และไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯถึงสองครั้งสองคราแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ไปเดินด่อมๆมองๆอยู่ข้างๆเวทีหลายครั้งแล้ว
เป็นไปตามคาด และ พล.อ.ปฐมพงศ์ ก็รู้ว่าการออกมาจากกองทัพไทย แล้วขึ้นเวทีพันธมิตรฯนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
"สอบสวนทางวินัย"
นายกฯสมัคร สุนทรเวช ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งให้ตรวจสอบกรณี พล.อ.ปฐมพงษ์ ใส่เครื่องแบบทหารขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ก่อนที่จะพิจารณาใช้กฏหมายอาญาทหารจัดการอย่างเด็ดขาด
แต่ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองทัพไทย กลับออกมาบอกว่า พล.อ.ปฐมพงศ์ ไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบเต็มยศ เพียงใส่ชุดทหารธรรมดา และการไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯก็ถือเป็นสิทธิ์ และเสรีภาพในการแสดงออก แต่ควรเอาเวลานอกราชการ และไม่ควรใส่เครื่องแบบ
เพราะเครื่องแบบ เป็นเรื่องของ "สัญญาลักษณ์สถาบันทหาร"
พล.อ.บุญสร้าง บอกว่า การลงโทษนายทหารระดับ "จอมพล" นั้น ทำได้แค่ "ตักเตือน" จะโยก จะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ทำไม่ได้ และได้มอบหมายให้รองผู้บัญชาการกองทัพไทย ไป "ตักเตือน"แล้ว แต่เรื่องสอบสวนทางวินัยที่เหนือกว่า เป็นเรื่องของกลาโหม ซึ่งนายกฯสมัคร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว
แต่หมูไม่กลัวน้ำร้อนอย่าง พล.อ.ปฐมพงศ์ ยืนยันว่าจะขึ้นเวทีพันธมิตรฯอีกแน่นอน
วีระ มุสิกะพงศ์ แห่งพีทีวี กล่าวในรายการ เพื่อนพ้องน้องพี่" ของเขาว่า พล.อ.ปฐมพงศ์ ก็แค่ลูกระจ๊อกเท่านั้นเอง
พล.อ.หาญ ลีนานนท์ เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการจัดแจ้งให้ ด้วยการไปสู่ขอคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ให้กับ พล.อ.ปฐมพงศ์ และแต่งงานอยู่กินกันมายาวนานน่าจะมากกว่า 20 ปีแล้ว เพียงแต่ไม่มีลูกเท่านั้นเอง
แท้ที่จริงแล้ว ถ้า พล.อ.ปฐมพงศ์ ไม่ผูกโยงกับการเมือง ทั้งในแง่ของนายทหารคนสนิท พล.อ.หาญ ลีนานนท์ ที่ตอนหลังก้าวเข้ามาเล่นการเมืองในนามประชาธิปัตย์ และยังมีภรรยาเป็นนักการเมืองแห่งค่ายเดียวกับ พล.อ.หาญ จึงทำให้ พล.อ.ปฐมพงศ์ ในบางช่วงบางตอนของชีวิตจึงสะงักไปบ้าง แต่ก็ยังได้อยู่ในกองทัพบกติดระดับ 5 เสือมาแล้ว ก่อนจะถูกโยกไปอยู่ บก.สูงสุด หรือกองบัญชาการกองทัพไทยในปัจจุบัน
เหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนครึ่ง พล.อ.ปฐมพงศ์ ก็จะเกษียนอายุราชการแล้วครับ
ช็อก! อีก 2 สัปดาห์ไทยมีสิทธิ์ควักจ่าย ดีเซล 2 ลิตรร้อย
'พูนภิรมย์' ชง ครม.แผนแม่บทพลังงาน 8 ก.ค.นี้ เลิกหนุนไบโอดีเซล อ้างวัตถุดิบขาด หันอุ้มพลังงานแสงอาทิตย์แทน ผู้เชี่ยวชาญชี้อีก2อาทิตย์ดีเซลส่อ 2 ลิตร 100 บ.
ชงครม.8ก.ค.แผนพลังงาน
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง 'ทิศทางอุตสาหกรรมกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน' ว่า วันที่ 8 กรกฎาคม กระทรวงพลังงานจะเสนอมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 85 เป็นวาระแห่งชาติต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆ ให้ยั่งยืนและเป็นรูปธรรม โดยต้องสร้างแรงจูงใจมากขึ้น เช่น ควรที่จะลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์และน้ำมัน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำแบบบูรณาการ เพื่อให้เกิดผลโดยเร็ว ส่วนไบโอดีเซล 5 จะลดการส่งเสริม เพราะวัตถุดิบไม่เพียงพอ ขณะที่ปริมาณการใช้เพิ่มจากวันละ 5 ล้านลิตร เป็น 8 ล้านลิตร เพราะราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซล นอกจากนี้กระทรวงพลังงานจำเป็นต้องส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือน โดยปรับขึ้นส่วนเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 8 บาทต่อหน่วย และลดการส่งเสริมพลังงานชีวมวล เช่น แกลบ เพราะวัตถุดิบขาดแคลน
ชี้อีก2อาทิตย์ดีเซลส่อ2ลิตร100บ.
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก 1-2 บาทต่อลิตรในช่วงนี้ หลังน้ำมันดิบตลาดโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เและมีโอกาสแตะระดับถึง 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใน 1-2 สัปดาห์นี้ ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่อาจแตะถึง 48-50 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ขึ้นกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร ์หากปรับขึ้นอีกก็มีความเป็นไปได้สูง นอกจากนี้รัฐบาลควรลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล จากลิตรละ 90 สตางค์ เหลือ 30 สตางค์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับกองทุนน้ำมัน
'ฟอร์บส์'จัดอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย 40 อันดับ นายเฉลียว อยู่วิทยา ยังครองแชมป์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกมาอยู่ในอันดับ 16 แต่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 100 ล้านดอลลาร์
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ฟอร์บส์ ระบุว่า บุคคลร่ำรวยที่สุด 40 อันดับของไทยในปีนี้ยังเป็นหน้าเดิม หรือเป็นเครือญาติกับผู้ที่ติดอันดับเมื่อปี 2549 และ 2550 อาจเป็นเพราะว่า ธุรกิจที่บุคคลเหล่านี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน มีความเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก และสมาชิกในครอบครัวยังบริหารกิจการของตระกูลตัวเองต่อไป
นายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของผลิตภัณฑ์กระทิงแดง ยังรักษาอันดับ 1 ไว้ได้ ด้วยทรัพย์สิน 4,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 500 ล้านดอลลาร์ ผลพวงจากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดงทั่วโลก ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ บริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน) มีทรัพย์สิน 3,900 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 600 ล้านดอลลาร์
ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้แห่งลีกอังกฤษ รวยเป็นอันดับที่ 16 ของประเทศ แม้ว่าจะถูกอายัดทรัพย์ และหมดยุคเรืองอำนาจ เพราะถูกกระทำรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 แต่ตัวเลขทางการเงินของพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปีก่อน
Three rules of work: out of clutter find simplicity; from discord find harmony; in the middle of difficulty lies opportunity. คำคม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์