ขยับมาสู่ขั้นนี้ สมัครสุนทรเวช ถูกปลิดชีพทิ้งกลางทางเพื่อปลดชนวนปัญหา แต่ฝั่ง พันธมิตร นอกจากไม่ถอยแล้วยังเดินหน้าลุยไม่หยุดยั้งอย่างดุเดือด
ปลุกระดมหนักหน่วงกว่าเดิม
"สงครามครั้งสุดท้าย" ของพันธมิตรเที่ยวนี้ไม่ใช่แค่ประท้วงต่อรอง กดดัน เพื่อต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับปกติธรรมดา แบบที่ชาวบ้านเขาทำกัน
แต่เลยเถิดเป็นเกม"ชิงบ้านชิงเมือง" กันเลยทีเดียว
"รัฐบาล" โดยเฉพาะ"สมัคร" ก็อ่านเกมขาดเข้าใจลึกซึ้ง ว่า ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก ถึงแข็งขืนไม่ยอมลาออกเพราะรู้ดีว่า
ถ้า ลาออก จะ เพลี่ยงพล้ำถึงขั้นแพ้ทั้งกระดานได้ไม่ยาก
การประกาศจะอยู่เพื่อปกป้องประชาธิปไตยจึงมีนัยว่าจะอยู่ปกป้องหม้อข้าวตัวเองปกปักรักษาฐานอำนาจทางการเมืองของนักเลือกตั้งไว้ต่อไป
ขณะที่ยุทธการชิงเมือง ของพันธมิตรที่มาในนาม"การเมืองใหม่" จะทำการ ยึดอำนาจจากนักการเมืองรุ่นปัจจุบันไปสู่ระบบใหม่
โดยจะออกแบบคนที่จะเข้ามา เป็นผู้แทนแบบใหม่เลือกตั้งส่วนหนึ่งและสรรหาเป็นส่วนใหญ่
เมื่อนี่เป็นสงครามชิงเมือง ของพันธมิตรและนักการเมืองเกมจึงดุเดือดยิ่ง
นับเป็นการรบของภาคประชาชนที่มีทหารอดีตข้าราชการ ชนชั้นสูง หนุน หลัง กับนักการเมือง ที่ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของชาวชนบท
ซึ่งเป็นกลุ่มที่กุม ฐานอำนาจทางการเมืองอยู่ในปัจจุบัน
2 ฝ่ายย่อมห้ำหั่นจนแตกหัก
แน่นอนว่าเมื่อพันธมิตร คิดการใหญ่โตมโหฬารขนาดจะหักดิบประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องจึงไม่หยุดแค่การไล่สมัครหรือต่อต้านนายกฯ 3 ส.เท่านั้น
เพราะวันนี้พันธมิตร ไม่ได้ต้องการแค่เปลี่ยนตัวนายกฯแต่ต้องการ "ปฏิวัติ" หรือเปลี่ยนแปลง"โครงสร้าง"
ด้วยการกวาดล้างนักการเมืองในระบบนี้ให้สิ้นซากด้วยโมเดลการเมืองใหม่
ดังนั้นจึงไม่อาจไว้วางใจสมาชิกสภาชุดนี้ทำได้เพราะไม่มีทางที่ นักการเมืองจะทุบหม้อข้าวตัวเองแล้วแก้ไขกติกาการเลือกตั้งให้เป็น
สูตร 70/30 ตามโมเดลของพันธมิตร
ภารกิจของพันธมิตรคือต้องระเบิดสภาชุดนี้ทิ้ง เพื่อเปิดพื้นที่สร้างแนวทางใหม่
หนทางที่จะระเบิดระบบนี้ให้พังพาบลงได้ก็คือต้องเดินหน้าสู่ทางตัน การเมืองให้ได้ก่อน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบการเมือง ปัจจุบัน
เพื่อเป็นฐานความชอบธรรมในการสร้างการเมืองใหม่
ทุกอย่างที่พันธมิตรทำวันนี้จึงเป็นการลากพาสถานการณ์การเมืองให้ไปสู่"ทางตัน" ให้ได้
ทั้งการปฏิเสธไม่ยอมออกจากทำเนียบรัฐบาลอันเป็นศูนย์กลางการบัญชาการ ของอำนาจรัฐไทย และการไม่ยอมรับใครก็ตามที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลเป็น นายกฯ
ล้วนนำไปสู่ทางตันได้ทั้งสิ้น
"สนธิ ลิ้มทองกุล" ประกาศอย่างภูมิใจว่า
"เป็นเพราะพันธมิตรที่ทำให้การเมืองถึงทางตัน ถ้าไม่มีพันธมิตรการเมืองจะไม่ตัน ความชั่วช้าจะไหลเวียนถ่ายเทต่อไปได้เรื่อยๆ"
เสียงแว่วจากวงประชุมแม่ทัพพันธมิตรดุดันถึงขั้นว่าเมื่อสภาไม่อาจ เป็นกลไกคลี่คลายปัญหาได้สุดท้ายสถานการณ์ก็จะบีบให้ทหารต้องปฏิบัติการ "บางอย่าง" เพื่อ"โละ" หรือ"ยึด" อำนาจรัฐไม่ว่า "ทางลับ" หรือ"ทางแจ้ง"
ต่อจากนั้นก็อาศัยมาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญผ่าทางตันโดยจำเป็นต้องงดใช้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 171
ที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส.เท่านั้นแล้ว เชิญนายกรัฐมนตรี "คนนอก" เข้ามาทำหน้าที่ร่างกติกาการเมืองใหม่
เมื่อมองทะลุช็อตจนเห็นแก่นแกนยุทธศาสตร์ของพันธมิตรแล้วสถานการณ์หลังจากนี้จึงน่าจับตามองอย่าได้กะพริบตา
นางสาวสากียะห์ หะรงค์
5131202082
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น